น้ำหนักตัวขึ้นผิดปกติ เกิดจากอะไร เช็กสิเสี่ยงโรคร้ายหรือเปล่า

11 October 2024
96 view

การเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวอย่างผิดปกติและการบวมพองของร่างกายโดยไม่มีสาเหตุชัดเจนอาจเป็นเรื่องที่น่ากังวล โดยเฉพาะเมื่อไม่มีการเปลี่ยนแปลงในการรับประทานอาหารหรือวิถีชีวิต และไม่ได้ตั้งครรภ์ การเพิ่มน้ำหนักอย่างรวดเร็วเช่นนี้อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่แอบแฝงอยู่ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ควรทราบว่าการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักในระดับใดถือว่าผิดปกติ และภาวะที่ร่างกายเก็บน้ำหนักง่ายผิดปกตินี้อาจบ่งชี้ถึงโรคหรือภาวะใดได้บ้าง การตรวจสอบสาเหตุและปรึกษาแพทย์เป็นสิ่งที่ควรพิจารณา เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสมหากจำเป็น ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว

น้ำหนักตัวขึ้นผิดปกติ แบบไหนที่ไม่ควรนิ่งนอนใจ

น้ำหนักตัวสามารถเพิ่มขึ้นได้อย่างช้า ๆ และเป็นธรรมชาติ โดยทั่วไปแล้วอาจเพิ่มขึ้นประมาณ 1-2 กิโลกรัมต่อปี อย่างไรก็ตาม หากมีการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักอย่างรวดเร็วและมากผิดปกติ ก็อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพที่แอบแฝงอยู่ การเพิ่มขึ้นของน้ำหนักที่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษคือ เมื่อน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 5-10 ของน้ำหนักตัวรวมภายในระยะเวลาเพียง 6 เดือน ยกตัวอย่างเช่น สำหรับคนที่มีน้ำหนักตัว 68 กิโลกรัม หากน้ำหนักเพิ่มขึ้น 3.4-6.8 กิโลกรัมในช่วงเวลาดังกล่าว ถือเป็นสัญญาณที่ควรได้รับการตรวจสอบ ในกรณีที่พบการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักในลักษณะนี้ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพโดยเร็ว การตรวจสุขภาพอย่างละเอียดจะช่วยค้นหาสาเหตุที่แท้จริงและนำไปสู่การรักษาที่เหมาะสมต่อไป ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตและรักษาสุขภาพให้แข็งแรงในระยะยาว

น้ำหนักตัวขึ้นผิดปกติ เกิดจากสาเหตุใด

  1. อารมณ์และสภาวะทางจิตใจ มีผลกระทบต่อร่างกายอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญกับความเครียด ความวิตกกังวล ปัญหาการนอน หรือภาวะซึมเศร้า สภาวะเหล่านี้สามารถส่งผลให้เกิดความผิดปกติของฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการหลั่งอินซูลินและระดับน้ำตาลในเลือด ผลที่ตามมาคือการขาดพลังงานและแรงจูงใจในการเคลื่อนไหวร่างกาย นอกจากนี้ยังอาจเกิดความอยากอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น ของหวานเพื่อเพิ่มความสดชื่น หรืออาหารไขมันสูงเพื่อบรรเทาความเครียด บางคนอาจมีพฤติกรรมการกินมื้อดึกบ่อยขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลให้เกิดการเพิ่มน้ำหนักได้อย่างรวดเร็ว
  2. ในช่วงก่อนมีรอบเดือน ผู้หญิงหลายคนอาจประสบกับภาวะบวมน้ำ ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย ปรากฏการณ์นี้ส่งผลให้เกิดอาการหลายอย่าง เช่น ความรู้สึกท้องอืด ร่างกายบวม อารมณ์แปรปรวนง่าย และน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยทั่วไปแล้วน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นนี้มักจะไม่เกินสองสามกิโลกรัม อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ อาการเหล่านี้เป็นเพียงภาวะชั่วคราว เมื่อระดับฮอร์โมนในร่างกายกลับสู่ภาวะปกติหลังจากเริ่มมีประจำเดือน อาการบวมน้ำและน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นก็จะค่อยๆ กลับสู่สภาวะปกติเช่นกัน
  3. เมื่อก้าวเข้าสู่ช่วงอายุ 40-50 ปี ทั้งชายและหญิงจะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนเพศที่สำคัญ การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเพศหญิง ในระยะนี้ หลายคนอาจประสบกับอาการไม่สบายต่างๆ เช่น อาการเวียนศีรษะ ความหงุดหงิด อารมณ์ที่แปรปรวนง่าย และการขาดแรงจูงใจในการทำกิจกรรมต่างๆ ปัจจัยเหล่านี้รวมกันสามารถนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัว
  4. การมีอาการท้องป่องหรือพุงยื่น ออกมาอย่างผิดปกติ ร่วมกับการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัว โดยที่ส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เช่น แขน ขา หรือใบหน้า ไม่ได้อ้วนตามไปด้วย อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับรังไข่ โรคที่เกี่ยวกับรังไข่มีหลายชนิด ตั้งแต่ภาวะที่ไม่รุนแรงไปจนถึงภาวะที่ต้องการการรักษาอย่างเร่งด่วน เช่น เนื้องอกรังไข่ ซีสต์ ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovary Syndrome หรือ PCOS) และในกรณีที่รุนแรงอาจเป็นมะเร็งรังไข่
  5. โรคไทรอยด์ที่ส่งผลให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นมักเป็นภาวะที่เรียกว่า ไฮโปไทรอยด์ หรือภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ ในภาวะนี้ ต่อมไทรอยด์ไม่สามารถผลิตฮอร์โมนได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ส่งผลให้กระบวนการเผาผลาญในร่างกายช้าลงอย่างมีนัยสำคัญ ผลที่ตามมาคือการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัว แม้ว่าผู้ป่วยจะรู้สึกเบื่ออาหารและรับประทานอาหารได้น้อยลงก็ตาม นอกจากนี้ ยังมีอาการอื่นๆ ที่มักพบร่วมด้วย เช่น ความรู้สึกอ่อนเพลียอย่างต่อเนื่อง อาการง่วงนอนบ่อยครั้ง ปัญหาท้องผูก และความรู้สึกไวต่อความหนาวมากกว่าปกติ
  6. โรคไต เป็นภาวะที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของไตในการกำจัดของเสียและควบคุมสมดุลของน้ำในร่างกาย เมื่อไตไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจทำให้เกิดการสะสมของของเสียและน้ำในร่างกาย ส่งผลให้เกิดภาวะบวมน้ำที่อาจทำให้ดูอ้วนขึ้นผิดปกติ อาการบวมน้ำในผู้ป่วยโรคไตมักเริ่มที่บริเวณหนังตาและใบหน้า จากนั้นอาจลามไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เช่น ท้องที่ป่องออก (ภาวะท้องมาน) ขา และเท้า โดยอาการบวมมักจะรุนแรงขึ้นในช่วงบ่ายถึงเย็น และเมื่อกดบริเวณที่บวมจะเกิดรอยบุ๋ม นอกจากอาการบวมแล้ว ผู้ป่วยโรคไตอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดหลังหรือบั้นเอว เหนื่อยง่ายผิดปกติ ภาวะซีด เบื่ออาหาร ความผิดปกติเกี่ยวกับการปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะเป็นเลือด มีอาการแสบขัด ปัสสาวะเป็นฟอง หรือปัสสาวะบ่อยแต่ปริมาณน้อยลง
  7. ภาวะน้ำคั่งในช่องท้อง หรือที่เรียกว่าภาวะท้องมาน เป็นอาการที่เกิดจากการสะสมของของเหลวในช่องท้อง ซึ่งอาจเป็นผลมาจากหลายสาเหตุที่แตกต่างกัน ภาวะนี้อาจพบได้ในผู้ป่วยที่มีอาการบวมน้ำทั่วไป หรือในกรณีที่มีการติดเชื้อในมดลูก นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากความผิดปกติของทางเดินอาหารหรือทางเดินปัสสาวะ เช่น การทะลุของอวัยวะเหล่านี้ ซึ่งทำให้ของเหลวรั่วไหลเข้าสู่ช่องท้อง ในบางกรณี การมีเนื้องอกในช่องท้องก็สามารถทำให้เกิดการสะสมของของเหลวได้ โรคปอดบางชนิดอาจทำให้น้ำจากช่องปอดไหลลงไปคั่งในช่องท้อง และภาวะน้ำคั่งในเนื้อเยื่อหุ้มหัวใจก็อาจส่งผลให้เกิดการสะสมของของเหลวในช่องท้องเช่นกัน

ดังนั้นใครที่มีน้ำหนักตัวขึ้นมากผิดปกติ ต้องไปตรวจสุขภาพดูแล้วล่ะ ว่าคุณกำลังเสี่ยงเป็นโรคร้ายอะไรอยู่หรือเปล่า เพื่อจะได้รู้เท่าทันและรักษาได้อย่างท่วงทันนั่นเอง

บทความแนะนำเพิ่มเติม

1. การขับถ่ายของทารก และการแก้ไขหากลูกขับถ่ายผิดปกติ

2. ฝึกการขับถ่ายให้ลูกอย่างไรดี เริ่มเมื่อไหร่

3. ผลไม้แก้ท้องผูก ช่วยให้คุณแม่ตั้งครรภ์ ขับถ่ายง่าย ไม่ท้องผูกบ่อย

  • No tag available