โรคฮีน็อค
ฮีน็อคเป็นชื่อเรียกง่ายๆสำหรับชื่อเต็มแล้ว คือ โรคฮีน็อค ซอนไลน์ เพอพูลา (Henoch-Schönlein purpura) ซึ่งจัดเป็นโรคหายากในไทย พบได้ประปรายอย่างเช่นคุณแม่ท่านี้ ได้แชร์ประสบการณ์ให้คุณแม่ท่านอื่นๆได้ทราบ เพราะอาการของโรควินิจฉัยแยกโรคค่อนข้างยาก คนแก่ที่ไม่เคยเจอกับโรคนี้มาก่อน มักะเหมารวมว่า ลูกเป็นผื่นแพ้ หรือ ลูกเป็นซาง วันนี้เรามารู้จักกับโรคฮีน็อค กันค่ะ
คุณแม่แชร์ประสบการณ์ลูกเป็นโรคฮีน็อค
คุณแม่เจ้าของเฟส ชื่อ Tippawan Pingpittayakul ได้บอกเล่าเรื่องอาการเจ็บป่วยของลูกว่า ในวันแรกนั้นลูกกลับจากโรงเรียน พบว่าเท้าลูกไม่มีไข้ มีแค่อาการบวม คล้ายๆกับถูกแมลง ยุง กัด จึงสอบถามคุณครูประจำชั้น คุณครูแจ้งว่าไม่ใช่ คุณแม่จึงได้สังเกตอาการผื่นนั้นอย่างใกล้ชิด
วันที่2 ลูกบอกยังเจ็บอยู่ยืนไม่ได้ เลยให้หยุดเรียน ฝ่าเท้าด้านขวายังนูนปูด แต่ด้านซ้าย ด้านข้างๆเท้า กลายเป็นรอยช้ำ จ้ำเขียว วันนั้นเลยพาไปหาหมอโรงพยาบาลใกล้บ้าน หมอส่องรอยเขี้ยว หาร่องรอยการโดนกัดของแมลง ไม่พบ เลยได้ยาฆ่าเชื้อมา คิดว่าน่าจะเป็นแมลงเล็กๆกัดแล้วเกิดอาการแพ้ วันนั้นกลับมาลูกก็ยังบอกเจ็บขา และเริ่มมีจุดเล็กๆแดงๆขึ้นที่เท้า และขา
วันที่3 ลูกของคุณแม่เดินไม่ได้ จากจุดเล็กที่เท้ากลายเป็นรอยปื้นใหญ่ และการเจ็บหลังและขามีมากขึ้น แตะตัวลูกไม่ได้เลย คุณแม่จึงพาลูกไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล ซึ่งแรกรับนั้นคุณหมอวินิจฉัย อาจเป็น ฮีน็อค จึงเจาะเลือดตรวจอย่างละเอียด
วันที่4 แพทย์แจ้งผลเลือดว่าลูกของคุณแม่เป็น โรคฮีน็อค ซอนไลน์ เพอพูลา (Henoch-Schönlein purpura) และหมออธิบายคุณแม่ว่า โรคนี้ไม่ทราบสาเหตุน้อยคนที่จะเป็น แต่ก็มีคนเป็น เบื้องต้น ต้องให้สเตียรอยด์ และยาเพื่อกดเม็ดเลือดขาว
วันที่ 5 - 6 -7 อาการน้องงดีขึ้นตามลำดับ แต่ยังกลับบ้านไม่ได้ ตอนนี้ลูกของคุณแม่ยังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล
รายละเอียดของโรคฮีน็อค ชอนไลน์ เพอพูรา
โรคฮีน็อค ชอนไลน์ เพอพูรา มักเกิดในวัยเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ โดยเฉลี่ยพบอายุ 6 ปี และมักเป็นในชายมากกว่าเด็กหญิง โรคนี้ไม่ใช่โรคติดต่อหรือโรคระบาดแต่อย่างใด แต่เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายที่มีมากกว่าปกติ ซึ่งอาจถูกกระตุ้นด้วยการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิดเช่นสเตร็ปโตคอคคัส อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดท้อง ปวดตามข้อ และอาการไตอักเสบ การรักษาจะรักษาตามอาการเป็นหลัก เช่น หากมีปัญหาเลือดจาง ซีด จะให้เลือดค่ะ
คุณแม่ควรรู้จักสังเกตความผิดปกติของลูกนะคะ อย่าคิดแค่ว่าคงไม่เป็นไร เดี๋ยวก็คงหาย เพราะโรคร้ายๆในเด็ก มีเยอะค่ะ ระวังไว้เป็นดีที่สุด เมื่อพบความผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์เป็นดีที่สุดค่ะ ด้วยความเป็นห่วงจาก Mamaexpert.
ขอบคุณข้อมูล และ รูปภาพ : Tippawan Pingpittayakul