โรคคาวาซากิ
หรือที่เรียกกันว่า โรคหัดญี่ปุ่น พบครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2504 โดย นายแพทย์ TomisakuKawasaki ที่ประเทศญี่ปุ่น และตั้งชื่อว่า Mucocutaneous Lymph Node Syndrome ( MCLS ) พบมากในเด็กอายุน้อยกว่า 4 ปี พบมากที่สุดในช่วงอายุ 1 – 2 ปี และได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรคคาวาซากิ เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ค้นพบครั้งแรก บางคนเรียกหัดญี่ปุ่นตามแหล่งค้นพบ
ระบาดวิทยาของโรคคาวาซากิ
อุบัติการของโรคนี้ยังไม่ทราบแน่ชัด โดยพบมากแถบเอเชีย โดยเฉพาะที่ประเทศญี่ปุ่น แต่สำหรับในประเทศไทยก็พบมากขึ้นเรื่อยๆ โดยโรคนี้จะพบในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิง (ประมาณ 2:1) โดยเฉพาะในช่วงอายุ 1-2 ปี พบบ่อยที่สุด โรคนี้มีโอกาสเกิดในครอบครัวเดียวกัน(พี่น้อง)ได้ โดยเมื่อคนหนึ่งเป็นอีกคนจะมีโอกาสเป็นมากกว่าเด็กทั่วๆ ไปและเด็กที่ป่วยเป็นโรคนี้อาจเกิดเป็นซ้ำได้ พบได้ประมาณ 3-5%
สาเหตุการเกิดโรคคาวาซากิ
สาเหตุการเกิดโรคคาวาซากิยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด คาดว่าโรคนี้น่าจะเกี่ยวกับการติดเชื้อบางชนิดทั้งแบคทีเรียและไวรัส, การใช้แชมพูซักพรม, การอยู่ใกล้แหล่งน้ำ หรือเป็นโรคเกี่ยวกับภูมิต้านทานผิดปกติ (Immunologic disease) แต่มีปัจจัยที่พบโรคคาวาซากิบ่อยได้แก่
4ปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคคาวาซากิ
- เด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี
- เด็กผู้ชายพบบ่อยกว่าเด็กผู้หญิง
- เด็กชาวเอเชีย เช่น ชาวญี่ป่น เกาหลี พบบ่อยกว่าเด็กชาติอื่น
- ในเด็กที่มีพ่อแม่เคยเป็นโรคนี้ พบโรคนี้เป็นสองเท่าของเด็กปกติ
อาการของโรคคาวาซากิที่คุณแม่ต้องรู้
6 อาการฟันธงว่าลูกเป็นโรคคาวาซากิ
- มีไข้สูงกว่า38 องศาเซลเซียสขึ้นไป
- ตาแดงโดยไม่มีขี้ตาทั้งสองข้าง
- ริมฝีปาก คอและเยื่อบุปาก แดง ลิ้นเป็นตุ่มแดงนูนดูคล้ายผิวสตรอเบอร์รีและริมฝีปากแตก
- มือเท้าบวมแดงในเวลาต่อมา (ในประมาณสัปดาห์ที่ 2 และ 3) ปลายมือเท้าอาจลอก
- มีผื่นลักษณะต่างๆกันขึ้นตามตัวและอาจขึ้นมากบริเวรขาหนีบ
- ต่อมน้ำเหลืองลำคอโต คลำได้ ขนาดต่อมน้ำเหลืองมักโตมากกว่า 1.5 ซม. ไม่เจ็บ หรือเจ็บแต่น้อย
อาการแสดงอื่นๆที่เกิดขึ้นได้ในระหว่างที่เป็นโรคคาวาซากิได้แก่ ปวดตามข้อ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ กระเพาะปัสสาวะอักเสบแบบไม่ติดเชื้อ ท้องเสีย ปอดบวม เป็นต้น ปัญหาสำคัญของโรคคาวาซากิ คือ เกิดโรคแทรกซ้อน
ภาวะแทรกซ้อนที่พบในโรคคาวาซากิ
หลอดเลือดแดงที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบโป่งพอง (coronary aneurysm) กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ลิ้นหัวใจอักเสบ หัวใจเต้นผิดจังหวะซึ่งภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวเป็นสาเหตุให้เกิดการเสียชีวิตได้ โดยการตรวจพบภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวต้องอาศัยการตรวจโดยใช้เครื่องตรวจคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (echocardiography)
วิธีการรักษาโรคคาวาซากิ
แพทย์จะให้ยาแอสไพริน เพื่อให้ไข้ลดเร็ว และเพื่อลดการอักเสบของเส้นเลือด และป้องกันเกล็ดเลือดรวมตัวเป็น กลุ่มก้อนเนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุ ยังไม่มียาเฉพาะใช้รักษาโรค แต่แพทย์จะทำการรักษาตามอาการเพื่อ ความรุนแรงและอุบัติการณ์โรคแทรกซ้อนที่หัวใจและหลอดเลือดลง
ป้องกันโรคคาวาซากิได้หรือไม่?
ปัจจุบัน ยังไม่ทราบสาเหตุของโรคคาวาซากิ จึงยังไม่สามารถป้องกันได้ แต่เป็นโรคที่รักษาได้ การรักษาที่ถูกต้อง รวดเร็ว จะป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน ซึ่งที่สำคัญ คือ หลอดเลือดแดงหัวใจโป่งพองได้มาก หากลูกมีไข้สูง เช็ดตัวลดไข้และให้ยาแล้วไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล
เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว คุณแม่ไม่ควรวางใจเมื่อลูกมีไข้ตาแดงโดยไม่มีขี้ตาทั้งสองข้างริมฝีปาก คอและเยื่อบุปาก แดง ลิ้นเป็นตุ่มแดงนูนดูคล้ายผิวสตรอเบอร์รีและริมฝีปากแตก และ มือเท้าบวมแดง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจรักษาอย่างละเอียดนะคะ
บทความแนะนำเพิ่มเติม
1. 5 โรคอันตรายในเด็ก ที่พ่อแม่ต้องเฝ้าระวัง
เรียบเรียงโดย : Mamaexpert Editorial Team
อ้างอิง :- มูลนิธิเด็ดโรคหัวใจ.นายแพทย์วัชระ จามจุรีรักษ์.โรคคาวาซากิ.https://goo.gl/wwzYE9.[ค้นคว้าเมื่อ 15 กันยายน 2560]
- Familynetworkมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว.นายแพทย์วัชระ จามจุรีรักษ์.นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์.คาวาซากิ(Kawasaki disease).https://goo.gl/NyZafc.[ค้นคว้าเมื่อ 15 กันยายน 2560]
- โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ แพทย์หญิง อิงคนิจ ชลไกรสุวัฒน์.โรคคาวาซากิ. https://goo.gl/iMgJ2D.[ค้นคว้าเมื่อ 15 กันยายน 2560]
- Wikipedia the free encyclopedia.Kawasaki disease.https://en.wikipedia.org/wiki/Kawasaki_disease.[ค้นคว้าเมื่อ 16 กันยายน2560]