“สมบัติ จิตต์วัฒนะวงค์” โชเฟอร์จิตสาธารณะ เผยรู้ว่าผิดขับฝ่าไฟแดง แต่ต้องช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ขอบคุณทุกกำลังใจ รู้สึกดีได้ช่วยคน

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2559 เวลา 12:28 น. จากกรณีกระแสชื่นชมอย่างล้นหลาม ที่เกิดขึ้นบนสื่อสังคมออนไลน์ หลังมีผู้เผยแพร่เรื่องราวการทำความดีของ “โชเฟอร์แท็กซี่” ที่มีจิตสาธารณะ เมื่อทราบว่าผู้โดยสารที่เรียกใช้บริการป่วยเป็นโรคหัวใจ ต้องการไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด จึงได้โทรศัพท์เช็กเส้นทาง ก่อนจะขับรถไปส่งผู้โดยสารซึ่งเป็นหญิงชราป่วยโรคหัวใจ ขึ้นมาพร้อมกับลูกสาว แต่ไม่สามารถเลี่ยงรถติดได้ จึงต้องขับฝาไฟแดงขอเส้นทาง และโชคดีมีพลเมืองดีขี่รถจักรยานยนต์คอยเปิดทางให้ จนถึงมือแพทย์ได้ทันเวลา ซึ่งแท็กซี่คนดังกล่าวยินดีไม่รับค่าโดยสาร ตามที่ปรากฏเป็นข่าวมาแล้วนั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ วันที่ 7 มี.ค. นายสมบัติ จิตต์วัฒนะวงค์ อายุ 27 ปี โชเฟอร์แท็กซี่คนดังกล่าว เปิดเผยผ่าน “เดลินิวส์ออไลน์” ว่า เวลาประมาณบ่าย 2 โมง ของวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา ตนได้ขับรถไปส่งผู้โดยสารรายหนึ่งย่านพาหุรัด-ประตูน้ำ จากนั้นมีผู้หญิง 2 คน กำลังรอเรียกแท็กซี่ทั้งสองฝั่งถนน ตนจึงจอดรับ ผู้โดยสารแจ้งว่าจะไปโรงพยาบาลรามาฯ ระยะทางประมาณ 10 กม. แต่ต้องวนไปรับผู้ป่วยก่อน ซึ่งเป็นแม่ของผู้โดยสารป่วยเป็นโรคหัวใจ เมื่อทราบเช่นนั้น จึงใช้วิทยุสื่อสารสอบถามเพื่อนว่าจะให้เส้นทางราบหรือขึ้นทางด่วนหัวลำโพง พร้อมกับเช็กกับ จส.1000 ตัดสินใจใช้เส้นทางราบ เพราะหากขึ้นทางด่วนอาการของผู้ป่วยแย่ลงๆ ตนจะไม่มีสิทธิ์ขับไปไหนได้นอกจากตามเส้นทาง จนกว่าจะออกจากเส้นทางด่วน

“ขับมาได้ 8 เดือน จะรับผู้ป่วยตามโรงพยาบาลเป็นหลักอยู่แล้ว ทั้งโรงพยาบาลกรุงเทพพระราม 9 บำรุงราษฎร์ รามา เลยรู้จักเส้นทางดี ฝ่าทุกไฟแดงประมาณ 5-6 ไฟแดง ผมบีบแตรขอทางเขามาตลอด โชคดีของผู้ป่วยที่มีมอไซค์ขับขวางไฟเขียวไว้ให้ ต่างคนต่างไม่รู้จักกัน ผมเองก็รู้สึกดีไปด้วย แต่เห็นอาการผู้ป่วยแย่ลงทุกที จึงตัดสินใจขับสวนเลน เพราะถ้าไม่ทำแบบนั้น ผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นอย่างไร รู้แต่ว่าผิดกฏจราจรแน่นอน แต่ต้องทำ สุดท้ายถึงโรงพยาบาลค่าแท็กซี่ 77 บาท เขาเอาเงินมายัดใส่มือผม 500 ขอบใจที่ยอมขับรถฝ่าไฟแดงช่วยแม่เขา ผมบอกไม่เป็นไร เพื่อนมนุษย์ต้องช่วยกัน ส่วนกำลังใจและคำชื่นชมที่มีให้ผม ต้องขอบคุณมากๆครับ” โชเฟอร์แท็กซี่คนดังกล่าว ระบุ. ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง… ซึ้งใจแท็กซี่โทรขอเส้นทาง ส่งผู้โดยสารถึงรพ.ทันเวลา“

ขอบคุณข่าว  : เดลินิวส์